ทุกข้อกังวลเกี่ยวกับผิวหน้า
ปรึกษา Doctor Fills ได้ครับ
Filler - ฟิลเลอร์
Q : Filler คืออะไร?
A : Filler คือสาร Hyaluronic Acid หรือ HA ที่เราเคยได้ยินกันบ่อยๆค่ะ เป็นสารสกัดจากธรรมชาติชนิดเดียวกับที่ชั้นผิวของเรามีตามธรรมชาติอยู่แล้ว จึงมีความปลอดภัยสูงค่ะ
Q : Filler ต่างกับ Botox อย่างไร?
A : Filler คือการเติมเต็ม เช่นในกรณีที่อยากเติมเต็มร่องแก้ม ขมับ ปาก เหมาะสำหรับการทำฟิลเลอร์ ส่วนริ้วรอยหน้าผาก ตีนกาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ คุณหมอจะแนะนำให้เป็นการทำ Botox ค่ะ
Q : ฉีด Filler มีโอกาสแพ้ไหม?
A : เนื่องจากเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ โอกาสแพ้จึงมีน้อยมากค่ะ แต่เนื่องด้วยก่อนการฉีด Filler จะต้องมีการฉีดหรือทายาชาก่อนการทำหัตการจึงมีแนวโน้มที่เกิดอาการแพ้จากยาชาได้ในบางกรณีค่ะ
Q : Filler เหมาะกับใคร อายุเท่าไหร่?
A : จริงๆแล้ว Filler เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องอยากเติมเต็ม แก้ไขเฉพาะจุด จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกับอายุโดยตรงค่ะ แต่ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของด็อกเตอร์ฟิล อย่างใกล้ชิดค่ะ
Q : Filler ยี่ห้อไหนดีที่สุด
A : Filler จะแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆจากประเทศที่ผลิต อย่างที่ได้ยินบ่อยๆคือ ยุโรป และเกาหลีค่ะ ซึ่งแต่ละยี่ห้อจะมีเนื้อผลิตภัณฑ์ และคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ด็อกเตอร์ฟิลจะวิเคราะห์จากปัญหาและแนะนำ Filler ที่เหมาะสมที่สุดในแต่ละบริเวณ ซึ่งอาจจะแตกต่างไปในแต่ละเคส ดังนั้น Filler ที่ดีสุดคือ Filler ที่เหมาะสมกับเราค่ะ
Q : Filler กลุ่มยุโรป และเกาหลี ต่างกันอย่างไร?
A : ต่างกันเรื่องระยะเวลาสลายตัว Filler จากฝั่งยุโรปจะมีระยะเวลาสลายตัวนานกว่าของเกาหลีเล็กน้อยค่ะ
Q : หลังฉีดกี่วันถึงจะเห็นผล ?
A : สำหรับระยะเวลาเห็นผลของการฉีด Filler ให้ดูสวยงามเข้ารูปเต็มที่ โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1-2 สัปดาห์ค่ะ
Q : ฉีด Filler 1 ครั้ง อยู่ได้นานเท่าไหร่?
A : โดยปกติแล้วจะขึ้นอยู่กับประเภทผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ความเข้มข้น เป็นการฉีดครั้งแรกหรือฉีดซ้ำ อุณหภูมิ และตำแหน่งที่ฉีดค่ะ โดยเฉลี่ยผลิตภัณฑ์จากเกาหลีจะอยู่ได้ที่ 6-12 เดือนและยุโรป 12-24 เดือนค่ะ
Q : สิ่งที่ต้องตรวจสอบก่อนฉีด Filler ?
A : คุณภาพของ Filler ที่ใช้ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน อย. และเป็น Filler แท้ค่ะโดยเราสามารถขอดูที่กล่อง Filler ก่อนทำได้เลย เพื่อตรวจสอบเลข อย.ที่กำกับข้างกล่องเสมอค่ะ
Q : ผลข้างเคียงของการฉีด Filler มีอะไรบ้าง?
A : หลังจากการฉีดอาจมีอาการบวมช้ำเล็กน้อยได้ในบางเคสค่ะ แต่สามารถประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม หรือนวดเพื่อคลายจุดที่บวมได้ค่ะ และหากมีอาการปวดบริเวณที่ฉีด สามารถทานยาแก้ปวดเพื่อลดอาการได้ค่ะ
Q : วิธีการดูแลหลังฉีด Filler ?
A : คุณหมอแนะนำให้ดื่มน้ำตามมากๆ เพราะน้ำจะมีส่วนช่วยให้สารที่ฉีดเข้าไปอิ่มฟู ดูสวยขึ้นได้ค่ะ รวมถึงงดการดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงความร้อนทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ปาร์ตี้หมูกระทะหรือซาวน่า เป็นต้น เนื่องจากทำให้ filler สลายเร็วขึ้น หลังฉีดอาจต้องงดไปก่อนนะคะ
Botox - โบท็อกซ์
Q : ฉีด Botox ช่วยเรื่องอะไร?
A : Botox มีคุณสมบัติในการช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว จึงมีส่วนช่วยเรื่องลดเลือนริ้วรอย ผิวหนังหย่อนคล้อยตามบริเวณต่างๆบนใบหน้า เช่น ริ้วรอยใต้ตา ตีนกา รอยย่นบริเวณหน้าผาก และผิวหนังส่วนอื่นๆแม้กระทั่งที่คอค่ะ
Q : ฉีด Botox อันตรายไหม?
A : การฉีด Botox อาจเกิดผลข้างเคียงบ้างในช่วงแรก เช่น ตึงเกิน, หนักคิ้วหรืออาการช้ำบริเวณที่ฉีดเล็กน้อย แต่จากสถิติต่างๆทั้งในไทย และต่างประเทศ หากได้รับการฉีด Botox จากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญและคลินิคเสริมความงามที่เชื่อถือได้ รวมถึงใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพตรงตามมาตรฐานแล้วนั้น ยังไม่พบข้อบ่งชี้อันตรายร้ายแรงค่ะ
Q : ควรเริ่มฉีด Botox อายุเท่าไหร่?
A : จากคำแนะนำของด็อกเตอร์ฟิล เราควรเริ่มฉีด Botox ตั้งแต่ก่อนจะมีปัญหาฝังลึกค่ะ ไม่ว่าอายุตัวเลขจะมากน้อยแค่ไหน แค่เพียงเราเริ่มสังเกตเห็นริ้วรอยที่เพิ่มขึ้นก็ถึงเวลาที่เราควรจะเริ่มปรึกษาคุณหมอแล้วค่ะ
Q : Botox ฉีดบริเวณใดได้บ้าง ?
A : Botox สามารถฉีดบริเวณที่ต้องการลดริ้วรอยได้ค่ะ เช่น รอยย่นหน้าผาก, รอยตีนกา, รอยย่นระหว่างคิ้ว, ริ้วรอยใต้ตา, นอกจากริ้วรอยยังสามารถนำมาใช้ลดกราม, ต่อมน้ำลายบริเวณหน้าหู ช่วยเรื่องกรอบหน้าดูเข้ารูปค่ะ รวมถึงบริเวณรักแร้ เพื่อลดการทำงานของต่อมเหงื่อ ลดปัญหาเหงื่อเยอะ และกลิ่นตัวได้ค่ะ
Q : Botox ควรฉีดบ่อยแค่ไหน ?
A : ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเติม Botox คือ 3-6 เดือน / ครั้งค่ะ ทั้งนี้อยู่ที่ปริมาณของผลิตภัณฑ์และแบรนด์ที่เลือกใช้ ดังนั้นควรปรึกษาคุณหมอที่เชี่ยวชาญ และไว้ใจได้ค่ะ มิเช่นนั้นอาจเกิดภาวะดื้อโบได้ค่ะ
Q : ดื้อโบคืออะไร มีจริงไหม?
A : ภาวะดื้อโบ มีจริงค่ะ เกิดจากการที่ร่างกายเราสร้างสารแอนติบอดี้มาต่อต้านสาร Botox สาเหตุอาจมาจากการที่เราใช้ Botox ปริมาณมากเกินไป, ฉีดบ่อยเกินไป, เปลี่ยนยี่ห้อบ่อยๆ, การผสมน้ำเกลือมากเกินไปทำให้ประสิทธิภาพลดลง เลยอาจจะทำให้เข้าใจผิดว่าดื้อ Botox ได้เช่นกัน
Q : ฉีด Botox ไปแล้วกี่วันถึงเห็นผล ?
A : การฉีด Botox นั้น อาจจะไม่เห็นผลในทันที เนื่องจากร่างกายของคนเราต้องรอให้ตัวยาที่ฉีดเข้าไปเริ่มออกฤทธิ์จับตัวกับกล้ามเนื้อ โดยส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในระหว่าง 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและตำแหน่งที่ฉีดค่ะ
Q : สิ่งที่ไม่ควรทำก่อนฉีด Botox และ Filler ?
A :
- ด็อกเตอร์ฟิล แนะนำเลยค่ะว่า ต้องงดแอลกอฮอล์ก่อนทำอย่างน้อย 7 วัน เพราะแอลกอฮอลล์ส่งผลให้ตับทำงานผิดปรกติ อาจทำให้เลือดหยุดยาก และเป็นอุปสรรคต่อการทำหัตถการค่ะ
- การงดกินยา รวมถึงกลุ่มวิตามินและอาหารเสริมบางชนิด เช่นยาแก้ปวดกลุ่มแอสไพริน และอื่นๆ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ก่อนทำหัตถการควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งค่ะ
Acne Treatment - โปรแกรมดูแลผิวที่มีปัญหาสิว
Acne Treatment
โปรแกรมดูแลผิวที่มีปัญหาสิว
Q: สิวอุดตันจำเป็นต้องกดออกหรือไม่?
A : การกดสิวเป็นการช่วยระบายสิ่งอุดตันออกจากรูขุมขนค่ะ โดยเฉพาะกับสิวอุดตันที่ไม่มีทางออก แต่ทั้งนี้การกดสิว ควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีเทคนิคพิเศษและอุปกรณ์ที่สะอาด เพื่อลดการอักเสบ และแผลเป็นจากสิวค่ะ
Q : เลเซอร์จำเป็นกับการรักษาสิวไหม?
A : การรักษาสิวด้วยเลเซอร์เป็นอีกวิธีที่นิยมใช้ในการรักษาสิวค่ะ และมีหลากหลายประเภท ตามผลลัพธ์ที่ต้องการที่แตกต่างกัน เช่น เลเซอร์ฆ่าเชื้อสิว เลเซอร์เพื่อลดความมัน เลเซอร์รักษาแผลเป็นทั้งรอยแดงและรอยดำ จึงมีความจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเลือกเลเซอร์ที่เหมาะสมกับปัญหาค่ะ
Q : เลเซอร์ทำให้หน้าบางจริงไหม?
A : เนื่องด้วยในอดีตการใช้แสงเลเซอร์เป็นการใช้ความร้อนสูงเข้าสู่ผิวจนตกสะเก็ดหรือลอกเป็นแผ่น จึงมีความเป็นไปได้ที่อาจจะทำให้ผิวบอบบางค่ะ แต่ในปัจจุบัน วิทยาการในการใช้เลเซอร์รักษาสิวพัฒนามากขึ้น ร่วมกับความเชี่ยวชาญของแพทย์เฉพาะทางจึงไม่ต้องกังวลเรื่องผลกระทบหน้าบางอีกต่อไปค่ะ
Vitamin Drip - การดริปวิตามิน
Vitamin Drip
การดริปวิตามิน
Q : ดริปวิตามิน 1 ครั้ง ใช้เวลาเท่าไหร่ ?
A : ประมาณ 30 นาทีค่ะ
Q : ผลลัพธ์ของการดริปวิตามินอยู่ได้นานแค่ไหน?
A : การดริปวิตามิน 1 ครั้ง จะมีผลลัพธ์อยู่ที่ประมาณ 1- 2 เดือนค่ะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยการใช้ชีวิต เช่น การ
พักผ่อน อาหาร และเครื่องดื่ม รวมถึงสภาพแวดล้อมควบคู่กันไปค่ะ ดังนั้น เพื่อคงประสิทธิภาพของวิตามิน
ด็อกเตอร์ฟิลแนะนำให้ดริปวิตามิน ในปริมาณที่พอเหมาะ สัปดาห์ละ 1 ครั้งค่ะ
Q : ผลข้างเคียงของการดริปวิตามิน มีอะไรบ้าง ?
A : การดริปวิตามิน ถือเป็นการดูแลฟื้นฟูผิวเบื้องต้น จากการฉีดวิตามินที่จำเป็นเข้าสู่ร่างกายโดยตรง จึงไม่
เป็นอันตรายค่ะ หากแต่ว่าวิตามินที่ได้รับนั้น ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหาร
และยา และไม่อยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด อาจส่งผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ผื่น คลื่นไส้ อา
เจียน วิงเวียนค่ะ
Q-Switch Laser
Q : Q-Switch Laser ช่วยเรื่องอะไร?
A : Q-Switch เป็นเลเซอร์ที่มีคุณสมบัติที่ช่วยในการลดเม็ดสีฝ้าลึก ฝ้าตื้น ฝ้าดื้อยา กระลึก กระแดด รวมไปถึงปัญหาปานดำ ปานน้ำตาล และลบรอยสักค่ะ เป็นวิธีการทำให้เม็ดสีใต้ชั้นผิวที่ไม่พึงประสงค์กระจายแตกตัวจนมีอนุภาคเล็กลง จากนั้น เม็ดเลือดขาวในร่างกายก็จะทำการย่อยสลายทำลายเซลล์เม็ดสีนั้นและขับออกจากร่างกายค่ะ
Q : Q-Switch Laser ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
A : เพื่อการเห็นผลชัดเจน ด็อกเตอร์ฟิล แนะนำให้ทำทุก 2-3 สัปดาห์ ในช่วงแรก และทำต่อเนื่อง 3-6 ครั้งค่ะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะอาการและผิวพรรณของผู้รับบริการด้วยค่ะ
Q : ผลข้างเคียงของการทำ Q-Switch Laser?
A : หลังจากทำ Q-Switch Laser อาจพบว่า ผิวบริเวณที่ทำมีสีเข้มขึ้นหรือแดงเล็กน้อยค่ะ และจะค่อยๆกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ภายใน 2-3 วันค่ะ
Hair Removal Laser - การเลเซอร์กำจัดขน
Hair Removal Laser
การเลเซอร์กำจัดขน
Q : เลเซอร์กำจัดขนดีกว่าวิธีอื่นอย่างไร?
A : การทำเลเซอร์กำจัดขนถาวรที่ได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแตกต่างจากวิธีอื่นๆคือ ขนจะบางลง และงอกช้าลงอย่างเห็นได้ชัด หรืออาจจะไม่มีอีกเลยค่ะ ผิวบริเวณที่ทำจะเรียบเนียน และใสขึ้น ไม่เกิดขนคุด ผิวหนังไก่ หรือดำคล้ำ เหมือนวิธีอื่นๆอย่างการดึง ถอน หรือใช้ครีมกำจัดขน ช่วยเสริมความมั่นใจให้กับเราได้ทุกท่วงท่าค่ะ
Q : การทำเลเซอร์ Diode กำจัดขนต้องทำกี่ครั้งถึงเห็นผล ?
A : ประสิทธิภาพของการทำเลเซอร์กำจัดขนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยค่ะ ทั้งความเข้มของสีผิว สีขน ความหนาแข็งแรงของขน และปริมาณเส้นขน ทั้งนี้ด็อกเตอร์ฟิลแนะนำให้ทำเลเซอร์อย่างน้อย 5-10 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 4 สัปดาห์ เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนค่ะ
Q: เลเซอร์ Diode ต่างจาก YAG อย่างไร?
A : YAG จะมีความยาวของลำแสงเลเซอร์ที่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวสีแทน หรือผิวเข้ม รวมถึงเหมาะกับบริเวณเล็ก เช่น ใบหน้า หนวด เครา และจุดซ่อนเร้นค่ะ
ส่วน Diode จะมีความยาวของลำแสงเลเซอร์ที่หลากหลายกว่า เหมาะกับทุกสภาพผิว ทำงานด้วยระบบความเย็น ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ หรือแสบร้อน สามารถใช้ในบริเวณกว้างอย่าง แขน ขา หรือรักแร้ค่ะ
Platelet Rich Plasma (PRP) – การฟื้นฟูเซลล์ผิวด้วยเกล็ดเลือดและ Growth Factor
Q : PRP ผิวหน้าคืออะไร ?
A : การทำ PRP คือการฟื้นฟูเซลล์ผิวจากเกล็ดเลือดค่ะ โดยใช้เลือดของผู้รับบริการมาปั่นสกัดเกล็ดเลือดที่มีความเข้มข้นที่สุด และมี Growth Factor สูง เพื่อช่วยฟื้นฟู กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินใต้ผิว ช่วยเรื่องผิวหน้าแน่นฟู รูขุมขนกระชับ ลดริ้วรอย ทำให้หน้าดูเด็กลง และช่วยเติมเต็มร่องลึกอย่างรอยหลุมสิวได้ด้วยค่ะ
Q : PRP เหมาะกับใคร? ควรเริ่มทำตั้งแต่อายุเท่าไหร่ ?
A : PRP เป็นการบำรุงฟื้นฟูผิวค่ะ หากช่วงไหนที่เรารู้สึกถึงใบหน้าหมองคล้ำ อยากคืนความมั่นใจให้ผิวดูสวยอิ่ม สามารถเข้ามารับคำปรึกษาเพื่อทำ PRP ได้เลยค่ะ รวมถึงวัยรุ่นที่มีปัญหาสิว หรือหลุมสิว ก็สามารถมาปรึกษากับด็อกเตอร์ฟิลได้ก่อนที่จะมีปัญหาฝังลึกค่ะ
Q : ทำ PRP เจ็บไหม ?
A : ต้องขอบอกเลยว่า สำหรับคนที่กลัวเข็ม อาจจะเจ็บนิดๆค่ะ เพราะต้องมีการใช้เข็มในการเจาะเลือดเพื่อไปสกัด Growth Factor และนำกลับมาฉีดที่ผิวหน้าอีกครั้งค่ะ ระหว่างนั้นจะมีการยาชาทั่วบริเวณที่จะฉีดก่อนประมาณ 30-45 นาทีด้วยค่ะ
Q : PRP เห็นผลเลยไหม? และ ผลลัพธ์ของ PRP อยู่ได้นานแค่ไหน?
A : ผลลัพธ์ของ PRP จะค่อยๆเห็นผลลัพธ์ชัดเจนหลังทำประมาณ 1-2 สัปดาห์ และอยู่ได้นาน 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลค่ะ
Q : PRP ควรทำบ่อยแค่ไหน ?
A : ในช่วงต้น ด็อกเตอร์ฟิลแนะนำให้ทำอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 2-5 ครั้งค่ะ จากนั้นค่อยๆลดลงเหลือ 2-4 เดือน / ครั้ง อาจทำควบคู่ไปกับหัตถการอื่นๆได้ ตามคำแนะนำของคุณหมอค่ะ
Q : วิธีเตรียมตัว ก่อนและหลังทำ PRP มีอะไรบ้าง?
A :
ก่อนทำ โดยทั่วไป ด็อกเตอร์ฟิลแนะนำให้พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันความข้นหนืดของเลือด งดดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ค่ะ
หลังทำ หลังทำ PRP อาจมีอาการบวมหรือรอยช้ำเล็กน้อย แต่จะดีขึ้นภายใน 2-3 วันค่ะ ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดี งดแอลกอฮอล์ รวมถึงงดกิจกรรมกลางแจ้ง หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดใน 3 วันแรกค่ะ
อย่างไรก็ตาม ด็อกเตอร์ฟิล จะให้คำปรึกษาและแนะนำทั้งก่อนและหลังทำ PRP ทุกเคสอย่างใกล้ชิดค่ะ ใครที่ไม่เคยทำมาก่อน ไม่ต้องกังวล หากมีปัญหาคาใจ สามารถปรึกษาคุณหมอได้เลยค่ะ
Hifu - ไฮฟู่
Q : Hifu เหมาะกับใคร ?
A : Hifu เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ หรือมีไขมันส่วนเกินช่วงหน้าแก้ม กรอบหน้า โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหากลัวเข็ม กลัวการผ่าตัด เพราะ Hifu เป็นการทำงานโดยใช้คลื่นโฟกัสอัลตราซาวด์ ดังนั้นไม่ต้องเจอเข็ม ไม่บวม ไม่ตกสะเก็ดให้ต้องกังวลใจแน่นอนค่ะ
Q : Hifu ทำบริเวณใดได้บ้าง?
A : Hifu สามารถแก้ปัญหาผิวบริเวณต่างๆของใบหน้า เช่น หน้าผาก คิ้ว หางตา ถุงใต้ตา ร่องแก้ม กรอบหน้า ลดเหนียง คางสองชั้น เป็นต้นค่ะ
Q : การทำ Hifu ใช้เวลาทำนานแค่ไหน?
A : โดยทั่วไปแล้วการทำ Hifu ทั่วหน้า 1 ครั้งจะใช้เวลาประมาณ 60-90 นาที เนื่องจากต้องทายาชา และ ขึ้นอยู่กับจำนวน shot ตามความต้องการของผู้รับบริการและการวิเคราะห์ของแพทย์ค่ะ
Q : Hifu ระหว่างทำเจ็บไหม ?
A : Hifu ไม่จำเป็นต้องใช้เข็ม จึงจะไม่เจ็บเหมือนการใช้เข็มค่ะ แต่อาจจะมีความรู้สึกจี๊ดๆระหว่างทำเล็กน้อย ซึ่งก่อนทำทีมผู้เชี่ยวชาญด็อกเตอร์ฟิล จะทายาชาให้ก่อน และระหว่างที่ทำหากเจ็บมาก สามารถบอกคุณหมอได้ทันทีเลยค่ะ
Q : ทำ Hifu เห็นผลเลยทันทีไหม?
A : สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำประมาณ 20% ค่ะ และจะเห็นผลเต็มที่ภายใน 1-3 เดือนค่ะ
Q : ผลการทำ Hifu อยู่ได้นานเท่าไหร่ ?
A : ผลการทำ Hifu อยู่ได้ประมาณ 6 เดือน หลังจากนั้นด็อกเตอร์ฟิล แนะนำให้กลับมาทำซ้ำเพื่อคงสภาพผิวที่ดีอย่างต่อเนื่องค่ะ
Italian Thread Lift - ร้อยไหมอิตาลี
Italian Thread Lift
ร้อยไหมอิตาลี
Q : ร้อยไหมอิตาลีเหมาะกับใคร?
A : ร้อยไหมเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องความหย่อนคล้อย อาจจะเคยทำหัตการสำหรับยกกระชับอื่นๆมาแล้ว
ไม่ค่อยเห็นผล และไม่มีเวลาในการพักฟื้นหากจะทำศัลยกรรม ร้อยไหมตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ค่ะเพราะสามารถเห็นผลชัดเจนที่สุดหลังการทำเพียงครั้งเดียวค่ะ
Q : ร้อยไหมอิตาลีเจ็บไหม ?
A : ต้องยอมรับเลยค่ะ ว่าการร้อยไหมอิตาลี อาจจะเจ็บได้บ้างช่วงขั้นตอนฉีดยาชาก่อนทำค่ะ จากนั้นอาจจะ
มีรู้สึกตึงๆบ้าง หรือแทบจะไม่รู้สึกเจ็บเลยระหว่างทำค่ะ
Q : ผลข้างเคียงของการร้อยไหมอิตาลีมีอะไรบ้าง?
A : หลังจากร้อยไหม อาจจะมีผลให้อ้าปากกว้างมากไม่ได้ในช่วงสัปดาห์แรกค่ะ แต่จากนั้นจะค่อยๆดี
ขึ้นเองและเป็นปรกติในที่สุดค่ะ
Q : ผลลัพธ์หลังจากการร้อยไหมอยู่ได้นานแค่ไหน ?
A : การร้อยไหมเรียกได้ว่าเจ็บครั้งเดียว แต่เห็นผลชัดเจนยาวนาน 12-15 เดือนค่ะ และไหมจะสลายไปเองตามธรรมชาติค่ะ
Q : ร้อยไหมอิตาลี สามารถทำพร้อมกับหัตการอื่นๆได้ไหม ?
A : ด๊อกเตอร์ฟิลไม่แนะนำค่ะ ควรเว้นจากการทำทรีทเม้นท์ เลเซอร์ นวดหน้า ขัดผิว รวมถึงประคบร้อน หรือ
โดนความร้อน อย่างน้อย 2 อาทิตย์ เนื่องจากอาจมีอาการบวมตึงเล็กน้อยหลังจากการร้อยไหมค่ะ